เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล3

เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล3

 นมัสการพระอาจารย์ เจ้าค่ะ มีปัญหามาปรึกษาพระอาจารย์เจ้าค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า... อาจารย์ลักษ์ ฟันธง ในศึก 12 ราศรี ทำนายว่า ปลายปีนี้ แผ่นดินจะถล่ม (กรุงเทพฯ) เจ้าค่ะ พระอาจารย์ มีความเห็นว่ายังงัยบ้างเจ้าคะ (ความกลัวมันเริ่มวิ่งมาเกาะกินใจ รำไรแล้วเจ้าค่ะ ) ??????

**วิสัชชนา**... ธรรมะสู่ดวงใจ ขอหยิบยกธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในกาลามสูตร กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
1.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

**ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

**ธรรมะสู่ดวงใจ**ยกตัวอย่าง ดังนี้ ม๊ะ!!!!!!!!!
1.อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
2.อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
3.อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
4.อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
5.อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
6.อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
7.อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
8.อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
9.อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
10.อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
ก่อนหน้า
Post Bon โพสต์บุญ ทำบุญผ่านโลกออนไลน์ง่ายๆเพียงกดแชร์หรือแบ่งบันเท่านี้คุณก็ได้ทำบุญทุกวัน เป็นธรรมทาน ขอผลบุญที่ท่านได้ทำจงดลบันดาลให้ท่านจงประสบผลสำเร็จทุกประการตามความปรารถนา ท่านที่มีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ท่านที่มีสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปโชคดีมีชัย เจริญก้าวหน้าเทอญ

ประวัติหลวงปู่ดู่ โดย ท่าน Athinan Aumboon

ประวัติหลวงปู่ดู่ โดย ท่าน Athinan Aumboon                                                    
www.youtube.com
จัดสร้างทุกขบวนการโดย... Athinan Aumboon ชยปุญโญ ภิกขุ วัดถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา เวลาในการรับชม 1 ช...
 
www.youtube.com
จัดสร้างทุกขบวนการโดย... Athinan Aumboon ชยปุญโญ ภิกขุ วัดถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อเเป็นการพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา เวลาในการรับชม...
 
www.youtube.com
จัดสร้างทุกขบวนการโดย... Athinan Aumboon ชยปุญโญ ภิกขุ วัดถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา เวลาในการรับชม 1 ช...
 
‎"ลิงติดตัง"
ท่ามกลางกระแสสังคมที่สับสนวุ่นวาย
ไม่ว่าจะเป็นกิจธุระส่วนตัว
กิจธ...ุระเรื่องครอบครัว เรื่องที่ทำงาน
เรื่องของญาติสนิทมิตรสหาย จนบ่อยครั้ง
ที่เรารู้สึกเหมือนถูกพันธนาการ
ด้วยภาระและหน้าที่ที่ต้องจัดกา
มากมายอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ทั้งตัวเราเองและทั้งผู้คนรอบข้าง

หลวงพ่อได้เคยเปรียบลักษณะเช่นนี้
กับอาการของลิง โดยท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า
"แกเคยรู้จักไหม โลกติดตัวเหมือนลิงติดตัง"

("ตัง" ตามความหมายในพจนานุกรมหมายถึง
ยางไม้ที่ผสมกับสิ่งอื่นแล้ว
ทำให้เหนียวใช้สำหรับดักนก)
เวลาที่เขามาดักจับลิง
เมื่อลิงมาติดกับที่มีตังติดอยู
ตังติดมือลิงข้างหนึ่ง
มันก็ใช้มืออีกข้างมาแกะออก
แต่แกะไม่ออก
กลับติดตังทั้งสองมือ
เอาเท้ามาช่วยถีบออก ก็ไม่ออกอีก
เอาปากกัดอีกผลที่สุดเลยติดตังไปทั้งตัว
ทั้งสองมือ สองเท้า และปากติดตังไปหมด
นอนรอให้เขามาจับตัวเอาไป")

ข้าพเจ้าก้มลงดูตัวเอง
และเหลียวมองดูรอบตัว
ไม่เห็นลิงแม้แต่ตัวเดียวที่ติดตัง
เห็นแต่ตัวเองและคนรอบๆ ข้าง
ติดตังเต็มไปหมด... ไม่มีลิงสักตัว
ใครก็ได้ ช่วยแกะทีเถอะครับ !

ข้อมูลจากหนังสือ "101 ปี หลวงปู่ดู่"
 
"เรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญ" ในชีวิตของเราทุกๆ คน
คงเคยได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ห...ลากหลายรส
และในบรรดาเหตุการณ์หลายเรื่องที่ผ่านไปนั้น
คงมีบางเรื่องที่เราเคยมีความรู้สึกว่า...ช่างบังเอิญเสียจริงๆ

คำว่า "บังเอิญ" นี้สำหรับนักปฏิบัติภาวนาแล้ว
ดูเหมือนจะขัดกับ "หลักความจริง"
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา

ดังเรื่องที่ข้าพเจ้าขอยกมาเป็นตัวอย่างนี้
ภายหลังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
และได้แสดงธรรมโปรดฤๅษีทั้ง ๕ หรือปัญจวัคคีย์
จนได้บรรลุธรรมะเป็นพระอรหันต์

แล้ววันหนึ่ง พระอัสสชิ หนึ่งในปัญจวัคคีย์
ได้เข้าไปบิณฑบาตในเมือง
ยังมีปริพาชกหรือนักบวชนอกพุทธศาสนารูปหนึ่ง
ชื่อ อุปติสสะ เดินมาพบพระอัสสชิเข้า
ได้แลเห็นท่าทางอันสงบน่าเลื่อมใส จึงเข้าไปถามท่านว่า
"ใครเป็นศาสดาของท่าน
ศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร"

พระอัสสชิตอบว่า
"เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺ จ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ"
แปลได้ความว่า
"ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ
ถ้าต้องการดับ ต้องดับเหตุก่อน
พระพุทธองค์ทรงสอนอย่างนี้"

อุปติสสะเมื่อได้ยินคำตอบก็เกิดความแจ้งในจิต
จนได้บรรลุธรรมเบื้องต้นในที่นั้นเอง
และขอเข้าบวชกับพระพุทธเจ้า
ต่อมาท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ที่เรารู้จักกันในนามของ พระสารีบุตร นั่นเอง

พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุกับผล
ผลย่อมเกิดแต่เหตุเท่านั้น จะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้

หลวงพ่อเคยบอกข้าพเจ้าว่า
"ถ้าเรามีญาณหยั่งรู้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเรา
ไม่มีเรื่องบังเอิญเลย"

ผู้ปฏิบัติภาวนาต้องให้ความสำคั
ที่เหตุ มากกว่าให้ความสำคัญที่ผล
จึงขอให้ตั้งใจสร้างแต่เหตุที่ดีๆ
เพื่อผลที่ดีในวันพรุ่งนี้...และต่อๆ ไป

ข้อมูลจากหนังสือ "101 ปี หลวงปู่ดู่"
 
 
"คิดว่าไมมีดี" ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่มักจะไม่พอใจ
ในผลการปฏิบัติของตน
โดยที่มักจะขา...ดการไตร่ตรองว่า
สาเหตุนั้นเป็นเพราะอะไร
ดังที่เคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อ
ได้มานั่งบ่นให้ท่านฟังในความอาภัพ
อับวาสนาของตนในการภาวนาว่า
ตนไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆภายใน
มีนิมิตภาวนา เป็นต้น
ลงท้ายก็ตำหนิว่าตนนั้นไม่มีควา
รู้อรรถรู้ธรรมและความดีอะไรเลย

หลวงพ่อนั่งฟังอยู่สักครู่
ท่านจึงย้อนถามลูกศิษย์จอมขี้บ่นผู้นั้นว่า
"แกแน่ใจหรือว่าไม่มีอะไรดี
แล้วแกรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือเปล่า"

ลูกศิษย์ผู้นั้นนิ่งอึ้งสักครู่จึงตอบว่า
"รู้จักครับ"

หลวงพ่อจึงกล่าวสรุปว่า
"เออ นั่นซี แล้วแกทำไมจึงคิด
ว่าตัวเราไม่มีดี"

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความเมตตาของท่าน
ที่หาทางออกทางปัญญาให้ศิษย์ผู้กำลังท้อถอย
ด้อยความคิด และตำหนิวาสนาตนเอง
หากปล่อยไว้ ย่อมทำให้ไม่มีกำลังใจในการปฏิบัติ
เพื่อผลที่ควรได้แห่งตน
 
"เชื่อจริงหรือไม่" สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว
คำดุด่าว่ากล่าวของครูอาจารย์
นับเป็นเ...รื่องสำคัญและมีคุณค่ายิ่ง
หากครูบาอาจารย์เมินเฉยไม่ดุด่าว่า
กล่าวก็เหมือนเป็นการลงโทษ

ผู้เขียนเคยถูกหลวงพ่อดุว่า
"แกยังเชื่อไม่จริง ถ้าเชื่อจริง
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ต้องเชื่อและยอมรับพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
แทนที่จะเอาความโลภมาเป็นที่พึ่
เอาความโกรธมาเป็นที่พึ่ง
เอาความหลงมาเป็นที่พึ่ง"

หลวงพ่อท่านกล่าวกับผู้เขียนว่า
"โกรธ โลภ หลง เกิดขึ้น ให้ภาวนา
แล้วโกรธ โลภ หลงจะคลายลง
ข้ารับรอง ถ้าทำแล้วไม่จริง ให้มาด่าข้าได้"
 
อ่านต่อหน้าถัดไป
 
Post Bon โพสต์บุญ ทำบุญผ่านโลกออนไลน์ง่ายๆเพียงกดแชร์หรือแบ่งบันเท่านี้คุณก็ได้ทำบุญทุกวัน เป็นธรรมทาน ขอผลบุญที่ท่านได้ทำจงดลบันดาลให้ท่านจงประสบผลสำเร็จทุกประการตามความปรารถนา ท่านที่มีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ท่านที่มีสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปโชคดีมีชัย เจริญก้าวหน้าเทอญ

ผลไม้ที่มีสารต้านมะร็งสูง

ผลไม้ที่มีสารต้านมะร็งสูง
 

รู้จัก 10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง.........
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ 1.... มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่
10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ขอบคุณ www.sanook.com
 
ร่างกายของเราต้องการอาหารเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน ซึ่งนับหน่วยเป็นแคลลอรี่ การรับประทานอาหารในจำนวนที่พอเหมาะ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือการได้รับอาหารจำนวนมากไป หรือน้อยไป ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่อสุขาภาพของเราได้ วันนี้จะขอเล่าให้ฟังถึงผลไม้ที่ต้องใช้จำนวนแคลลอรี่ไปเผาผลาญ มากกว่าจำนวนแคลลอรี่ที่ร่างกายจะได้จากผลไม้นั้น ผลๆไม้เหล่านี้จัดอยู่ในอาหารประเภทที่เราเรียกว่า negative calorie foods

กล่าวถึงผลไม้และผักรวม 15 ชนิดที่ให้ แคลอรี่น้อยกว่าที่ร่างกายต้องใช้แคลอรี่ไปเพื่อทำการย่อยสลายมัน ผักและผลไม้เหล่านี้ัได้แก่

Celery (คื่นช่าย)
Oranges (ส้ม)
Strawberries(สตรอเบอรี่)
Tangerines (ส้มจีน)
Grapefruit(ผลไม้ตระกูลส้มโอ)
Carrots(แครรอท)
Apricots (ผลแอปปคิคอท)
Lettuce(ผักในตระกูลรากบัว)
Tomatoes(มะเขือเทศ)
Cucumbers(แตงกวา)
Watermelon(แตงโม)
Cauliflower(กระหล่ำดอก)
Apples (แอปเปิ้ล)
Hot Chili Peppers(พริก)
Zucchini


 
รู้คุณ รู้โทษของเบียร์ 5 ประโยชน์ 5 โทษ : Beer: 5 Benefits and 5 Disadvantages
ไม่ได้สนับสนุนการดื่มสุรา แต่มีเพื่อนๆสอบถามมาจึงค้นคว้ามาแชร์ดังนี้ครับ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการดื่มเบียร์(ไม่เกิน 2แก้วต่อวัน ย้ำ!!!).

1.เป็นแหล่งวิตามิน เกลือแร่และสารฟลาวานอยด์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ.
... 2.ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่ แต่หากดื่มหนักจะให้ผลตรงข้ามเพราะไปเพิ่มสารโฮโมซีสทีน แทน.
3.เพิ่มไขมันตัวดีที่ชื่อ เฮชดีแอล แต่เน้นเช่นกันว่าไม่ใช่ดื่มหนั
4.ลดการเกิดนิ่วที่ไตลง 40%
5.ลดการแตกสลายของโครโมโซม ในกรณีที่โดนรังสีเอกซเรย์ เป็นงานวิจัยของญี่ปุ่น
ต่อไปนี้คือผลร้ายจากการดื่มเบียร์ประจำ:
1ดื่มเบียร์ประจำ จะอ้วนลงพุง ในผู้ชายเรียกว่า "beer belly" การลงพุงเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดตีบในอวัยวะต่างๆ.
2.เกิดโรคกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน.
3.เพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง ในกรณีดื่มเกินคิดเป็นแอลกอฮอล์ 40 กรัมต่อวัน
4.เกิดพิษ ขาดน้ำและภาวะแฮงเหล้า(dehydration, intoxication, and hangover).
5.เกิดอุบัติเหตุ ลดความสามารถในการขับขี่ยวดยานพาหนะ
ดังนั้น ไม่พึงหลงไหลการดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ จนหนักเกินไปและนำไปสู่การทำลายสุขภาพตนเอง หากเป็นไปได้ ไม่ควรดื่มเพื่อเป็นตัวอย่างแก่เยาวชน ลูกหลานต่อไป
 

Post Bon โพสต์บุญ ทำบุญผ่านโลกออนไลน์ง่ายๆเพียงกดแชร์หรือแบ่งบันเท่านี้คุณก็ได้ทำบุญทุกวัน เป็นธรรมทาน ขอผลบุญที่ท่านได้ทำจงดลบันดาลให้ท่านจงประสบผลสำเร็จทุกประการตามความปรารถนา ท่านที่มีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ท่านที่มีสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปโชคดีมีชัย เจริญก้าวหน้าเทอญ

เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล2







เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล2




ข้อคิดข้อธรรม ธรรมะก่อนนอน*-*ธรรมะสู่ดวงใจ**วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔*-*
เรื่อง'''''เรือนจำที่แท้จริง''''**www.dhamma2heart.com

**ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภเรือนจำสำหรับคุมขังผู้ตน ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายเครื่องจองจำเหล่านั้นไม่นับว่าเป็นเรือนจำที่แท้จริง ส่วนเครื่องผูกคือกิเลสตณหาในทรัพย์สมบัติ บุตรและภรรยา ถือเป็นเรือนจำที่แท้จริง มั่นคงยิ่งกว่า ตัดได้ยากกว่า โบ...ราณบัณฑิตได้ตัดเรือนจำนี้ได้แล้วออกบวช" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายโทนของตระกูลคหบดีเก่าแก่ แต่ยากจนตระกูลหนึ่ง พอบิดาเสียชีวิตแล้วเขาก็ได้ออกรับจ้างหาเลี้ยงมารดา อยู่ต่อมาพอเขาแต่งงานแล้วมารดาก็เสียชีวิตไปอีกคน ใจจริงแล้วเขาไม่อยากจะแต่งงานอยากบวชมากกว่า เพราะมองเห็นความลำบากของตนเอง แต่ก็ต้องแต่งงานตามใจมารดาเท่านั้น

ต่อมาไม่นาน ภรรยาของเขาตั้งครรภ์ เขาไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์จึงพูดกับนางในวันหนึ่งว่า "นี่น้อง เธอจงดูแลตัวเองนะ พี่จะไปบวชละ" ภรรยาบอกว่า "พี่..ฉันท้องแล้วนะ เมื่อฉันคลอดลูกแล้วพี่ค่อยบวชเถิด" เขาจึงอยู่ต่อจนนางคลอดลูกแล้วจึงพูดอำลานางอีกว่า "น้อง..พี่จะออกบวชแล้วนะ ขอให้เธอดูแลลูกน้อยนะ" นางขอร้องว่า "พี่..ขอให้ลูกหย่านมก่อนเถอะ พี่ค่อยไป"

ต่อมาอีกสองสามเดือนภรรยาก็ตั้งครรภ์อีก เขาคิดว่า "ถ้าขืนเรามัวแต่อำลานางอยู่เช่นนี้ก็คงจะไม่ได้บวชหรอก เราต้องหนีไปบวชในคืนนี้ละ" พอถึงเวลาเที่ยงคืนก็แอบหนีออกจากบ้านไปบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่ง

วันหนึ่ง ฤาษีนั้นขณะนั่งบำเพ็ญเพียรได้รำลึกถึงชีวิตของตนเอง จึงเปล่งอุทานเป็นคาถาว่า
"นักปราชญ์ไม่กล่าวเครื่องผูกที่ทำด้วยเหล็ก ทำด้วยไม้ และทำด้วยหญ้าปล้องว่าเป็นเครื่องผูกที่มั่นคง ส่วนความกำหนัดยินดีในแก้วมณีและต่างหูก็ดี ความห่วงใยในบุตรและภรรยาก็ดี, นักปราชญ์กล่าวเครื่องผูกที่ประกอบด้วยกิเลสนั่นว่าเป็นเครืองผูกที่มั่นคง ทำให้สัตว์ตกต่ำ ย่อหย่อนแก้ได้ยาก นักปราชญ์ทั้งหลายตัดเครื่องผูกนั้นได้ขาด หมดความห่วงใย ละกามสุข หลีกออกไปได้"

ฤาษีบำเพ็ญเพียรอยู่เช่นนี้จนสิ้นชีวิตไปเกิดที่พรหมโลกในที่สุ

**ข้อคิดข้อธรรม** เรือนจำ (เครื่องผูก) ที่แท้จริงของมนุษย์คือ ลูกภรรยา สามี และทรัพย์สินศฤงคาร

**"ห่วง ๓ "** ๑. ปุตโต คีเว มีลูกผูกคอ
๒. ธะนัง ปาเท มีทรัพย์ผูกเท้า
๓. ภริยา หัตเถ มีภรรยาผูกมือ

มีบุตรบ่วงหนึ่งเกีัยว พันคอ
ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
ภรรยาเยี่ยงบ่วงปอ รึงรัด มือนา
สามบ่วงใครพ้นได้ จึงพ้นสงสาร
(โครงโลกนิมิต)

สว่างตาด้วยเเสงไฟ สว่างใจด้วยเเสงธรรม...ธรรมะสู่ดวงใจ

ก่อนหน้า     ถัดไป
Post Bon โพสต์บุญ ทำบุญผ่านโลกออนไลน์ง่ายๆเพียงกดแชร์หรือแบ่งบันเท่านี้คุณก็ได้ทำบุญทุกวัน เป็นธรรมทาน ขอผลบุญที่ท่านได้ทำจงดลบันดาลให้ท่านจงประสบผลสำเร็จทุกประการตามความปรารถนา ท่านที่มีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ท่านที่มีสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปโชคดีมีชัย เจริญก้าวหน้าเทอญ

เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล

เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล
 มีเรื่องราวอยู่เรื่องหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า “อานันทเศรษฐี” มีทรัพย์มากถึง 80 โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ยอมบริจาคทรัพย์ หรือทำบุญเจือจานให้กับผู้ใด แถมอบรมลูกหลานให้ตระหนี่ไว้อย่าให้เจือจานแก่ผู้ใด แม้จะใช้จ่ายอะไรก็ตระหนี่มาก อบรมลูกชายวันละ 3 ครั้งในเรื่องให้ระมัดระวังในการใช้จ่ายทรัพย์ วันหนึ่งเศรษฐีอานันทะก็ได้ตายลง ไปเกิดเป็นลุกชายของหญิงวรรณะจัณฑาล ซึ่งในประเทศอินเดียถือว่าเป็นวรรณะต่ำ ใครที่เกิดในตระกูลจัณฑาลจะได้รับการดูถูกเหยียดหยาม
เศรษฐีอานันทะไม่เพียงแต่เกิดมาในตระกูลของจัณฑาลแต่ยังเกิดมาพิการตั้งแต่กำเนิด มีตา จมูก ปาก ไม่อยู่ในตำแหน่งที่ปกติ หน้าตาดูแล้วน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนปีศาจไปไหนมาไหนใครที่เห็นก็รังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ ไม่เหมือนเด็กโดยทั่วไปที่ใครเห็นแล้วก็มักจะนึกเอ็นดูหรือสงสาร
นับตั้งแต่เด็กจัณฑาลคนนี้มาเกิดในหมู่บ้านนี้ ปรากฏว่าทั้งหมู่บ้านพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย การทำมาหากินของคนในหมู่บ้านฝืดเคืองแร้นแค้นยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายคนในหมู่บ้านต่างก็ลงความเห็นกันว่า ลูกชายพิการของหญิงจัณฑาลคนนี้ที่หน้าตาเหมือนปีศาจนี่แหละเป็นกาลกิณี ทำให้การหากินของคนในหมู่บ้านฝืดเคือง ชาวบ้านก็เลยพร้อมใจกันขับไล่ทั้งหญิงจัณฑาลและลูกชายพิการให้ออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่น
หญิงจัณฑาลและบุตรต้องระหกระเหินรอนแรมเที่ยวขอทานไปเรื่อยๆ วันไหนที่หญิงจัณฑาลคนนี้อุ้มบุตรไปขอทานด้วยก็จะไม่ได้อะไรเลยในวันนั้น ในที่สุดเธอก็คิดว่าบุตรของเราคนนี้คงจะเป็นตัวกาลกิณีจริงๆจึงวางบุตรชายทิ้งไว้แล้วออกขอทาน ก็พอจะได้ทรัพย์มาเลี้ยงปากท้องของตนและลูกพอไปได้วันหนึ่งๆ พอลูกชายเริ่มโตขึ้นก็สั่งให้ลูกชายพิการออกไปขอทานเหมือนตน นี่! เศรษฐีมี 80 โกฏิในอดีต แต่ไม่ยอมทำบุญทำทาน ตระหนี่ถี่เหนียวมาก
วันหนึ่งเด็กจัณฑาลนี้ได้เดินขอทานไปถึงหน้าบ้านของตนในชาติที่แล้วสมัยที่เป็นเศรษฐี เกิดระลึกชาติได้ จำได้ว่านี่คือบ้านของตนเองในอดีตชาติ จึงเดินเข้าไปในบ้านนั้น ปรากฏว่าเด็กๆในบ้านต่างตกใจที่เห็นเด็กจัณฑาลหน้าตาเหมือนปีศาจ คนรับใช้จึงได้ช่วยกันจับเด็กจัณฑาลคนนี้เฆี่ยนตีแล้วจับโยนออกมาหน้าบ้าน เห็นไหมว่าอดีตเศรษฐีที่ร่ำรวยมหาศาล แต่ทรัพย์นั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงแผ่ขยายพระญาณตรวจดูก็ทรงทราบเหตุการณ์เหล่านี้ พระองค์ผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาได้ทรงออกบิณฑบาตพร้อมกับพระอานนท์มายังบ้านหลังนี้ เมื่อมาถึงหน้าบ้านเศรษฐีก็ทรงพบเหตุการณ์ที่เด็กจัณฑาลถูกโยนออกมาที่หน้าบ้านพอดี พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า เด็กพิการคนนี้คืออานันทเศรษฐีเจ้าของเดิมของบ้านหลังนี้ที่ตายไปแล้วกลับชาติมาเกิดพระอานนท์จึงไปตามลูกชายของอานันทเศรษฐีออกมา แล้วพระพุทธเจ้าทรงบอกว่า เด็กพิกาจัณฑาลคนนี้แหละคือบิดาของเจ้าที่ตายไป ลูกชายเศรษฐีไม่ยอมเชื่อพระองค์ ว่าเด็กหน้าตาเหมือนปีศาจนี้คือพ่อของตนที่ตายไป
พระพุทธองค์จึงตรัสกับเด็กจัณฑาลว่า เจ้าจงบอกบุตรชายของเจ้าให้รู้ว่าที่ๆได้เคยฝังสมบัติไว้ 4 แห่ง เด็กจัณฑาลจึงพาไปชี้ที่ฝังสมบัติ ปรากฏว่าพอขุดลงไปก็เจอสมบัติที่ฝังเอาไว้ 4 แห่ง ในที่สุดลูกชายเศรษฐีจึงยอมเชื่อว่าเด็กนี้คือพ่อของตนที่ตายไป
ดังที่เล่ามานี้ก็เพื่อให้พิจารณาว่า ชีวิตของทุกคนต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ สามีภรรยา ลูกหลานบริวาร ทุกๆ อย่างในชีวิตล้วนเป็นของชั่วคราว ดังนั้น มีก็มีให้เป็นอย่ามีด้วยความเป็นทุกข์ ทรัพย์สมบัติก็มีไว้เพื่อพอใช้ พออาศัย ในเมื่อเราเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรมว่ามีจริง ภพหน้าชาติหน้ามีจริงเช่นนี้ ก็ควรสั่งสมบุญให้สืบต่อไปในภายหน้า
คัดย่อจาก ชีวิตนี้เพื่อสิ่งใด
พระครูเกษมธรรมทัต(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
ถัดไปคลิกที่นี่
Post Bon โพสต์บุญ ทำบุญผ่านโลกออนไลน์ง่ายๆเพียงกดแชร์หรือแบ่งบันเท่านี้คุณก็ได้ทำบุญทุกวัน เป็นธรรมทาน ขอผลบุญที่ท่านได้ทำจงดลบันดาลให้ท่านจงประสบผลสำเร็จทุกประการตามความปรารถนา ท่านที่มีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ท่านที่มีสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปโชคดีมีชัย เจริญก้าวหน้าเทอญ

อิ่มบุญกับอาหารเจ

อาหารเจเพื่อสุขภาพ

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกินเจ จึงได้หาข้อมูลเกี่ยว การกินเจเพื่อคุณๆ ทั้งหลาย คำว่า "เจ" หรือ "แจ" ในภาษาจีนมีความหมายในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า อุโบสถ และแปลได้ อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่มีคาว ซึ่งความหมายที่แท้จริงของคำว่า "กินเจ" คือ การรับประทาน อาหารก่อนเที่ยงวัน หรือที่ชาวพุทธในไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือคือ "การรักษาศีล 8 " โดยหลัง จากเที่ยงวันแล้วจะไม่รับประทาน อาหารอีก
แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยม"การไม่กิน เนื้อสัตว์" ไปรวม กับคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วยทุกวันนี้ถึงแม้จะรับประทานอาหาร ทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนที่กินเจ" ไม่ใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนกินเจยังต้อง ดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาดงดงามทั้งกาย วาจา และใจ และเป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกันจึงเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง"
วันเวลาของการกินเจ
เราสามารถแบ่งการกินเจได้ 2 แบบ คือ
1. การกินเป็นกิจวัตร คือ การละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อ เป็นประจำทุกวัน
2. การกินเฉพาะช่วงประเพณีกินเจ คือ การกินเจในช่วงวันขึ้น ๑ ค่ำถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีน ซึ่งวันเวลา ของการกินเจทั้ง 9 วันนั้น จะมีชื่อเรียกดังนี้คือ ชิวอิก ชิวยี่ ชิวซา ชิวสี่ ชิวโหงว ชิวลัก ชิวฉิก ชิวโป๊ย และชิวเก้าด้วย

โดยที่เจอิ๊วหรือผู้ร่วมพิธีกินเจจะมีการทำบุญในระหว่าง 9 วันที่เรียกว่า "เจคี้" หรือ "ซาลักเก้า" ซึ่งประกอบด้วย วันชิวซา ชิวลัก และชิวเก้าด้วย โดยการนำโหงวก้วยหรือซาก้วย ผลไม้ 5 หรือ 3 อย่างมาไหว้ ซึ่งมักนิยมใช้ผลไม้ ที่มีความหมายเป็นมงคล เช่น ส้ม ซึ่งในภาษีจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี องุ่น หรือ พู่ท้อ หมายถึง งอกงาม สับปะรด หรืออั้งไล้ แปลว่า มีโชค และกล้วย ที่หมายถึง การมีลูกหลานสืบสกุล
การกินเจอย่างถูกต้อง
"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วย ผักฉุนทั้ง 5 อันได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยฉ่าย ใบยาสูบ เนื่องจากผักดังกล่าวเหล่านี้เป็นผักที่มี รสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ ซึ่งผู้ที่กินเจถือว่า
กระเทียม ซึ่งรวมไปถึง หัวกระเทียม ต้นกระเทียม จะไปทำลายการทำงานของหัวใจและกระทบกระเทือนต่อธาตุไฟในกาย ถึงแม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่สามารถละลายไขมันใน เส้นเลือด (คลอเลสเตอรอล) ได้ แต่กระเทียมก็มีความระคายเคืองสูง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอาหารเป็นแผลและโรคตับจึงไม่ควรรับประทานมาก
หัวหอม ซึ่งรวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์ โบราณของจีนถือว่า หัวหอมจะไปทำลายการ ทำงานของไตและกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในกาย ถึงแม้ว่า หอมแดงจะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืดแน่น ปวดประจำเดือน และอาการบวมน้ำได้ แต่การบริโภคเป็น ประจำหรือ มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย ประสาทเสีย มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย และนัยตาฝ้ามัว
หลักเกียว คือ กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาวกว่า ในประเทศไทยไม่พบว่า มีการปลูกแพร่หลาย ซึ่งหลักเกียวจะไปทำลายการ ทำงานของตับและกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในกาย
ใบยาสูบ ซึ่งหมายถึง บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมาโดยใบยาสูบจะไปทำลายการทำงาน ของปอด และ กระทบกระเทือนต่อธาตุโลหะในกาย
ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางศาสนา
ในมุมมองของศาสนาจะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ซึ่งได้แก่
1. บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น โมโหง่าย ดวง ธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมาซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริม ให้บารมี ธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ
2. ทำให้มีสติมั่นคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตและการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจาก ร่าง ก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี
3. หยุดการทำบาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาตพยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งร้ายตามจองเวร
4. สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัว มืดมนจะหมดไป หลังจากกินเจต่อเนื่องกัน เป็นระยะเวลานานๆ ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ และถ่ายทอดออกไปสู่ใบ หน้าให้มีความสะอาดสดใส
5. ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิด อยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้ายรบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกัน และกัน
6. ทำให้จิตใจสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่สะอาดทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด
7. เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขาไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย
ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดว่า การมองประโยชน์ของการ กินเจในแง่อื่น ซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้อย่างเกินคาด เกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ
ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
1. ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผัก ผลไม้ เป็นพลังที่ไม่ทำร้ายร่างกาย
2. ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืช ผัก ผลไม้ ช่วยระบบ การย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิด จากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร
3. หากรับประทานประจำจะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรงมีความต้านทานโรค มีความคล่อง ตัวรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด
4. ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเก๊าต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มี ประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุ ุและยังช่วยป้องกันโรคเหล่านี้
5. อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง 5 ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพอวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด อวัยวะเสริมทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
6. ผู้ที่กินเจจะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งได้แก่ ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตรายอื่นๆ มลภาวะที่เกิดจากการ เผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศ รวมถึงแหล่งอาหารและน้ำดื่ม
จะเห็นได้ว่าในทางกานแพทย์นั้น การกินเจมีประโยชน์ในการรักษา ที่สามารถพิสูจน์และ มองเห็นได้ชัดเจน กว่าประโยชน์ในทางศาสนา แม้ว่าการปฏิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความ ต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา
ประโยชน์ของการกินเจ ในมุมมองทางด้านโภชนาการ
มักมีการสงสัยกันอยู่เสมอว่า การกินเจ จะได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่หรือไม่ โดยเฉพาะ โปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีน ที่มีคุณภาพดีมากกว่า โปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความ เข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะแท้ที่จริงแล้วโปรตีนในผัก มีคุณค่าที่ใกล้เคียงกัน ในส่วนของอาหารหลัก 5 หมู่ เป็นสิ่งที่กังวลกันอีกประการ หนึ่งว่าจะได้ครบหรือไม่ ถ้าคิดในทางกลับกัน สิ่งที่คิดว่าจะขาดมาก ที่สุดคือโปรตีน ในอาหารเจยังมีครบ จึงไม่น่าเป็น ห่วงว่าจะขาดสารอาหารในหมู่อื่น เพราะนอกจากโปรตีน แล้วสารอาหาร หมู่อื่นจะมีอยู่ใน พืชผักผลไม้ทั้งสิ้น ดังนั้น การจะขาดสารอาหาร จึงน่าจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรม การบริโภคมาก กว่า ว่าเป็นคนเลือกกิน หรือไม่ ส่วนสารอาหารที่ได้จากการกินเจในที่นี้ จะขอกล่าวถึงเฉพาะ ส่วนของโปรตีนเท่านั้น เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีผู้สงสัยมากที่สุดว่า โปรตีนจากพืชจะ ทดแทน โปรตีนจาก สัตว์ได้หรือไม่
โปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายคนเรา มีมากในอาหารประเภทถั่ว
โปรตีน คือ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีอยู่ในเนื้อสัตว์ทั่วไป รวมทั้งในไข่ขาวและผัก และจะมีมากในถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และถั่วอื่นๆ โปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายจริงๆ มีอยู่ 10 ชนิด ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ ที่แตกต่างกันก็คือ ในเนื้อสัตว์จะมีไขมันมากกว่าถั่วต่างๆ เมื่อกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์จึงได้รับไขมันมากขึ้นไปด้วย ทำให้อ้วนรวมไปถึงระบบการย่อยอาหาร ก็ต้องทำงานหนักขึ้นไปด้วย ต่างจากโปรตีนที่ได้จากถั่วซึ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่า และร่างกายสามารถนำไปใช้ได้พอดี โดยไม่เหลือเป็นส่วนเกิน และยังมีกากใยช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และที่สำคัญ ไม่มีคลอเลสเตอรอลเหมือนในเนื้อสัตว์
โปรตีนที่มีความสำคัญต่อร่างกายของคนเรา 10 ชนิด ซึ่งมีอยู่ครบในถั่วต่างๆ คือ
1. ไลซีน มีหน้าที่สร้างความเจริญเติบโต และสร้างความต้านทานให้แก่ร่างกาย หากขาดไลซีน ร่างกายจะแสดงอาการผิดปกติ เช่น มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นต้น
2. กลูตามิก เป็นกรดอะมิโนที่บำรุงรักษาความเป็นปกติของเซลล์สมอง หากขาด กลูตามิก จะเกิด อาการผิดปกติทางสมองควบคุมความรู้สึกและจิตใจตนเอง ลำบากจะมีอาการเฉยเมย และซึมเศร้า แก่เร็ว ไม่สดใส ร่างกายไม่เจริญเติบโต
3. วาลีน เป็นกรด อะมิโนที่สร้างความเป็นปกติแก่สมองอีกชนิดหนึ่ง รวมถึงกล้ามเนื้อ ระบบประสาท การรับรู้ ความรู้สึกนึกคิด ซึ่งขึ้นอยู่กับกรดอะมิโนชนิดนี้
4. อาร์จีนีน เป็นส่วนประกอบของอสุจิในเพศชาย หากขาดจะทำให้มีโอกาสเป็นหมัน เพราะเชื้ออสุจิไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ของเพศหญิงได้ นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายไม่สดใส ไม่มีความกระชุ่มกระชวย จิตใจไม่ผ่องใส ทำให้แก่เร็ว
5. ซิสตีน เป็นกรด อะมิโนที่ร่างกายนำมาใช้สร้างเซลล์เส้นผมและอินซูลิน ทำให้ร่างกายต่อต้านสิ่งที่เป็นพิษได้ดีขึ้น สร้างภูมิต้านทานและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ทางลมหายใจ ผู้ที่ขาดซิสตีนจะเกิดอาการ เป็นกังวล หงุดหงิด ตับผิดปกติ เส้นผมหลุดร่วง
6. ฟีนายอะลานีน หากขาดกรด อะมิโนตัวนี้จะทำให้ควบคุมตนเองไม่อยู่ในเรื่อง การรับประทานอาหาร จะทำให้รับประทานอาหารไม่หยุด ทำให้เกิดโรคอ้วนและอาการมึน ซึม หรือปวดหัว ฟีนายอะลานีนสามารถนำมาสร้างฮอร์โมนไทร็อกซีนของต่อมไธรอยด์ได้อีกด้วย
7. ทรีโอนีน มีความสำคัญต่อระบบทางเดินอาหารและระบบย่อยอาหาร หากขาดทรีโอนีนจะเกิดปัญหาในการย่อยอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด เรอเปรี้ยว
8. อิสติดีน ช่วยดูแลรักษาทำให้ประสาทหูทำงานเป็นปกติ หากขาดอิสติดีนจะเกิด ความเสียหายกับประสาทหู และเกิดอาการหูอื้อ หูตึง ความสามารถในการได้ยินลดลง
9. ทริปโตเฟน ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารร่วมกับทรีโอนีน นอกจากนี้ยังช่วยสร้างเส้นผม ทำให้เส้นผมไม่หลุดร่วงง่าย รากผมแข็งแรง นอกจากนี้ยังทำให้ผิวพรรณผ่องใส และช่วยสร้างเม็ดโลหิตอีกด้วย
10. เมทีโอนีน ช่วยดูแลรักษาตับ ขับของเสียออกจากตับ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย หากขาดจะทำให้เส้นตับผิดปกติรวมถึงไตด้วย นอกจากนั้นยังทำให้เส้นผมหลุดร่วงง่าย ร่างกายไม่สดชื่น ผิวพรรณหมองคล้ำ

 
ขี้ลืม ...ดื่มน้ำมะพร้าวนะครับ......น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
 
Post Bon โพสต์บุญ ทำบุญผ่านโลกออนไลน์ง่ายๆเพียงกดแชร์หรือแบ่งบันเท่านี้คุณก็ได้ทำบุญทุกวัน เป็นวิทยาทาน ขอผลบุญที่ท่านได้ทำจงดลบันดาลให้ท่านจงประสบผลสำเร็จทุกประการตามความปรารถนา ท่านที่มีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ท่านที่มีสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปโชคดีมีชัย เจริญก้าวหน้าเทอญ